เชือกที่ผูกด้วยรัก


       
       วันที่ผมเริ่มเขียนบล็อกนี้ผมเฝ้าหาแรงบันดาลใจที่เกี่ยวข้องกับชีวิตโดยมี”เชือก”สักเส้นเข้าไปผูกเรื่องราวเหตุการณ์ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของผู้คนผ่านตัวอักษรและความนึกคิด
       แว๊บหนึ่งของมโนสำนึกเกิดขึ้นมาจากภาพเด็กชายคนคนหนึ่งในชุดลูกเสือที่มากับแม่ เด็กคนนั้นสวมรองเท้าผ้าใบสีน้ำตาล  ภาพของรองเท้าสีน้ำตาลเก่าๆปรากฏขึ้นในความทรงจำผมขึ้นมาทันทีแม้มันจะประติดประต่ออะไรไม่ได้มากนักเพราะมันก็ผ่านมากว่า 50 แล้ว แต่ผมเชื่อมั่นว่าผมเคยรู้สึกถึงมือทั้งสองข้างจาก "พ่อ-แม่"ที่บรรจงผูกเงื่อนหูกระต่ายและพร่ำสอนให้ผมหัดผูกเชือกรองเท้าก่อนที่จะส่งผมไปโรงเรียนในทุกๆเช้า
        เงื่อนเชือกทุกเงื่อนผูกด้วยเจตนา เพียงเพื่อให้เงื่อนเหล่านั้นได้ไปทำหน้าที่ตามเป้าหมาย   ยังมีเชือกที่ผูกด้วยหัวใจเพื่อให้เราได้ก้าวเดินในวันที่เราพร้อม สร้างความมั่นใจและอบอุ่นใจในวัยเด็กก่อนที่เราจะก้าวเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ เงื่อนที่ผูกด้วยหัวใจของความผูกพันใกล้ชิด เช่นเชือกรองเท้ามันคือสัญลักษณ์ที่ส่งต่อความรู้สึกอบอุ่นนี้ไปต่อไม่สิ้นสุด
       วันที่เรารู้สึกว้าเหว่ไม่มีใคร ผิดหวังกับคนแย่ๆในชีวิตเหมือนเดินมาถึงทางตันที่ไม่มีทางออก ลองหวลกลับไปคิดถึงเรื่องราวเก่าๆของชีวิตวัยเด็ก  ส่งความคิดถึงไปยังพ่อแม่ที่เป็นครูคนแรกของชีวิต จินตนาการถึงภาพที่ท่านนั่งลงผูกเชือกรองเท้าให้เราที่หน้าโรงเรียนในใจของท่านคงไม่หวังอะไรมากไปกว่าการที่ให้เรามีอนาคตก้าวเดินไปข้างหน้าโดยไม่สะดุดล้ม เชือกที่ผูกด้วยรักจะเป็นเชือกที่แข็งแรงที่สุดกว่าเชือกใดๆ และจะเป็นเชือกที่ไม่เคยเก่าเลยจากความคิดคำนึงของลูกแม้เวลาจะผ่านเลยมานานแสนนาน

(เอื้อเฟื้อภาพจากครอบครัว ดาวิกร-อเล็กซานเดอร์ ซิกส์)
   

เชือกที่ยืดได้


....เชือกที่ยืดได้ : เป็นคุณสมบัติที่ทำให้งานบางสิ่งบรรลุเป้าหมาย แต่เชือกเหล่านี้จะใช้งานได้ไม่นานเพราะการยืดหยุ่นจนเกินความสามารถ จะทำให้เชือกไร้สภาพเร็ว หากต้องนำไปใช้ร่วมกับเชือกอื่นๆจะกลายเป็นจุดเปราะบางที่สุด....องค์กรก็เหมือนกัน
.....คงมีคนค้านความคิดนี้อยู่ไม่น้อย อันนี้ผมรับได้ และคงมีคำถามตามมาว่าถ้าไม่มีการยืดหยุ่นหรือตึงเกินไปก็อาจขาดได้เช่นกันไม่เช่นนั้นจะมีคำว่า “เดินสายกลาง”ให้ได้ยินหรอกหรือ...อันนี้ก็จริงครับผมยอมรับ แต่เราลองมาคิดกันไหม่ไม๊ว่าหากกติกาสังคมได้เปิดช่องว่างให้มีใครสักคนสามารถใช้สิทธิ์ที่จะไม่ต้องเป็นไปตามนั้นด้วยคำว่ายืดหยุ่น  ที่อาจเกิดในสังคมหรือแม้แต่องค์กรเล็กๆ  ด้วยเหตุผลว่ายอมๆกันเพื่อ ”ความสบายใจ” หรือหลีกเลี่ยงการปะทะกันในวันที่เราต้องร่วมหัวจมท้าย จากนั้นไปจะเริ่มมีคนกล้าที่จะขอใช้สิทธิ์นี้มากขึ้นๆ  จนกลายเป็น”ค่านิยม”องค์กรที่เรายอมรับกัน
     แล้ววันหนึ่งวันที่องค์กรของเราต้องเข้าสู่สภาวการแข่งขันเราอาจพบอุปสรรคที่เราเก็บซ่อนไว้ใต้พรมปรากฏขึ้นมาจนยากที่จะขับเคลื่อน  การยืดหยุ่นเป็นสิ่งดีหากมันจะไม่ก้าวข้ามไปสู่ความหย่อนยานในกติกา  และที่สำคัญการลดหย่อนผ่อนปรนให้มีคนที่ไม่ต้องเคร่งครัดกับข้อตกลงจะไม่ได้สร้างวินัยให้กับคนๆนั้นเช่นเดียวกับการให้อภัยในความผิดพลาด  แต่กลับไปเพาะพันธุ์ความคิดให้กับคนที่เคร่งครัดได้เรียนรู้ที่จะตัวเองออกมาจากแรงกดดันในกติกาหันมาอยู่ฝากเดียวกันจนหมดสิ้น...ผมคิดเช่นนั้น
....ถ้าเชือกต้องเอามาผูกต่อกันให้ยาวออกไป เหมือนการทำงานที่ต้องเอาศักยภาพคนทั้งองค์กรมาประสานกันในการเคลื่อนสู่จุดหมาย คุณลองนึกภาพที่มีเชือกสัก 1-2เส้นที่ยืดหยุ่นได้ แน่นอนว่ามันจะเกาะเกี่ยวกับเชือกอื่นๆได้แน่นอน แต่ในวันที่เชือกทั้งเส้นต้องยึดโยงสิ่งใดจุดที่เปราะบางที่สุดจะเป็นจุดใดผมคงไม่ต้องอธิบาย
.....เราเลือกที่จะตั้งกติกาสังคมร่วมกันที่มาจากความคิดเห็นของทุกๆคน และดูแลรักษากติกานั้นให้ดี หากวันนึงเราไม่อาจเดินต่อได้ด้วยข้อตกลงที่อาจตึงหรือหย่อนเกินเราสามารถร่วมคิดร่วมแก้ไข แต่ไม่ปล่อยให้มีช่องโหว่เสมือนรูเล็กๆในเขื่อนขนาดมหึมาทีรอวันขยายตัวจนเกินกว่าแก้ไข







ชนะอุปสรรคด้วยความพยายาม

"fisherman"
เวลาที่เรามอง เราอาจไม่ได้เห็นสิ่งที่เรามอง
เพราะความคิดได้เข้ามาตีความสิ่งที่เราเห็น
ชาวประมงคนนี้พยายามเอาชนะสิ่งที่ไม่อาจควบคุมได้
คือ ธรรมชาติ
นำ้ลงจนเสาสูงพ้นกราบเรือ หากจะโยนเชือกให้คล้องได้อย่างที่เคยทำไม่ใช่เรื่องง่าย
ชีวิตมีความเปลี่ยนแปลง ความเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งเกินควบคุม
แต่เราเข้าใจมันได้และพยายามเพิ่มขึ้นได้

เชือกหลายเส้นรวมเป็นพลัง

     
         การเดินทางไปเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการสัมมนาที่จังหวัดตราดในครั้งนั้นแตกต่างออกไปเมื่อผมได้รับหน้าที่ให้จัดหากิจกรรมเพื่อให้ผู้ร่วมสัมมนาได้มีโอกาสทำร่วมกันเกิดภาพของความร่วมมือกันตามเจตนารมณ์ของผู้นำองค์กร
        ทั้งๆที่รู้ว่ามันอาจต้องใช้เวลาในการเตรียมการ ไหนจะจัดหาอุปกรณ์ แต่ผมไม่ปฏิเสธเพราะถือเป็นโอกาสทองของการได้นำแนวคิดเชิงตรรกด้วยเชือกมาเพื่อให้ทุกคนได้คิดร่วมกันภายใต้คอนเซป “แตกต่างอย่างมีเป้าหมาย” และพูดหยอกล้อกับเพื่อนพ้องผู้ร่วมกิจกรรมว่า “ไม่สนุกแต่ฉลาด” โดยเปิดแนวคิดแรกว่า เราจะไม่สรุปอะไรทั้งนั้นจากกิจกรรมที่ทำในแบบคำพูด “เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า.....”แต่เราเชื่อว่าบริบทของชีวิตในแต่ละคนจะตีความสิ่งที่ทำในวันนี้ได้แตกต่างกัน...ซึ่งล้วนจะนำไปสู่แง่คิดเชิงบวกของสัมพันธภาพองค์กร
       เริ่มที่เชือกซึ่งทุกคนได้รับไปล้วนแตกต่าง แล้วนำไปสู่การเชื่อมต่อเพื่อเกื้อหนุนกันไปสู่ภารกิจสุดท้ายที่ทุกคนจะได้ร่วมกันออกแบบความคิดของการนำลูกบอลไปสู่เป้าหมายโดยมีเชือกที่มาจากทุกคนยึดโยงไว้....ผมเห้นความลุ่มลึกของความคิดหลายกลุ่ม
      ผมได้เห็นแรงกดดันที่ทำให้ทุกคนหันหน้าเข้าปรึกษาหารือกันด้วยรู้ว่ามันคือความรับผิดชอบร่วมกันของชะตากรรมที่ได้มาอยู่ในกลุ่ม  ผมได้ใช้เทคนิควิธีในการสร้างผู้นำนอกรูปแบบขึ้น โดยเป็นคนที่ผมได้สอนการผูกเงื่อนเชือกไว้ล่วงหน้าเพื่อเป็นตัวแทนอาสาในการถ่ายทอดความรู้ผมเรียกพวกเขาว่า”ผู้หยั่งรู้” เมื่อกิจกรรมเริ่มขึ้นเราเพียงสร้างแรงกดดันให้ทุกคนที่ต้องเรียนรู้การผูกเงื่อนเชือกในเวลาจำกัดจากวิทยากรที่สอนเพียงครั้งเดียว  มันได้ก่อปฏิกริยาสำหรับผู้ที่ยังไม่สามารถทำตามได้ แต่เมื่อเราเฉลยว่าในกลุ่มเรามีผู้หยั่งรู้ ทุกคนต่างมองหาแล้วยอมรับที่จะเรียนรู้กับพวกเขา  มันก็เหมือนกับการที่หน่วยงานได้รับโจทย์ยากของการทำงานที่สั่งลงมา มันไม่ใช่เวลาที่จะตั้งคำถามแต่มันเป็นเวลาที่ต้องมองหาทางออกร่วมกันซึ่งแน่นอนว่าอาจมีคนที่มองเห็นแสงที่ปลายอุโมงค์ก่อนใครทั้งที่เขาอาจไม่ใช่คนหัวแถวเลยก็ได้
    ความอิ่มเอมใจกลับมาเกาะกุมความรู้สึกของผมเมื่อผู้นำองค์กรได้ขึ้นเวทีเพื่อสรุปประเด็นความคิดจากการสัมมนา  กิจกรรมเงื่อนเชือกความคิดของผมเป็น1ในประเด้นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นข้อคิดว่า “ผมได้เข้าใจแล้วว่าหน่วยงานเรามีความแตกต่างเหมือนเชือกทั้ง 29 เส้นแต่เมือเอามารวมกันมันสามารถสร้างพลังความสำเร็จได้” ข้อสรุปนี้ เพื่อให้ทุกคนได้มองเห็นโอกาสของการก้าวเดินไปในทิศทางเดียวกัน
    ค่ำคืนนั้นทุกคนถือเชือกติดมือมาที่งานเลี้ยงโดยได้ถักเป็นเงื่อน SNAKE BONE เพื่อมารับรางวัล เป็นความคิดของผมเองที่อยากให้ทุกคนได้มีเวลาอยู่กับจิตใจของตนเองที่จะอดทนทำอะไรเพื่อตัวเองบ้าง มันอาจเริ่มจากสิ่งเล็กๆเช่นการถักเชือก ให้หัวใจได้มีเวลาไตร่ตรองเพื่อเปิดกกว้างยอมรับสิ่งที่ไม่เคยลองแต่นำไปสู่ความเข้าใจในตนเองหลังการจดจ่อต่อสิ่งใดสักสิ่ง มันอาจคล้ายกับคำว่า “สมาธิ”...มันอาจไม่ใช่ทุกคนที่เข้าถึงได้หรอกอันนี้ผมเข้าใจดี แต่อาจมีสัก 1 คนที่แว๊บความรู้สึกต่อสิ่งนี้ขึ้นมาตอนที่หยิบเชือกเก่าๆที่ผ่านการถักร้อยด้วยมือเราเองขึ้นมาดูรายละเอียดที่วนไปมาของเงื่อนแล้วก่อตัวเป็นผลงาน...ผมก็ถือทุกคนเป็นครูที่มาเติมเต็มความคิดของผมเช่นกัน งานครั้งนี้บรรลุเป้าหมายในใจของการเดินทางแล้ว....ขอบคุณทุกคน



                        

เชือกที่เปลี่ยนขนาดได้



.....เชือกที่สั้นอย่างเดียวดาย แต่กลายเป็นพลังของกลุ่ม
.....ด้วยความคิดที่ว่า”คนย่อมมีความแตกต่าง” แต่ความแตกต่างสามารถสร้างพลังที่เหลือล้นได้
....ผมเพียงให้ทุกคนได้แทนตัวเองด้วยเชือกเพียงเส้นเดียวที่อยู่ในมือแล้วบอกถึงสิ่งที่เป็นตัวตนของเรา บางคนอาจมีสีสรรที่สดใส บางคนอาจมีเส้นที่ใหญ่โตน่าเกรงขาม บางคนเป็นเหมือนเชือกเก่าๆที่ดูไร้เสน่ห์ แต่สิ่งเหมือนกันคือเราเป็นเพียงเชือกเส้นเดียว เราอาจภูมิใจในความเป็นตัวตนหรือทดท้อกับโชคชะตาที่ได้มาแต่แรก
...เมื่อเวลาที่เราต้องก้าวออกมาสู่โลกความเป็นจริง  สิ่งแวดล้อมทำให้เราต้องพาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนรอบข้างทั้งที่อาจต้องเดินร่วมทางหรือสวนทางมาในชีวิต เมื่อบอกให้ทุกคนเอาเชือกของตัวเองไปวัดขนาดความยาวกับคนรอบข้างเป็นเวลาที่เราได้รู้จักตัวตนของตัวเองมากขึ้น  บางคนได้รับชัยชนะ บางคนพ่ายแพ้...เชือกในมือของตัวเองยาวไม่พียงพอที่จะคว้าชัยของชีวิตมาได้
...ครั้งต่อไปเมื่อเราต้องเดินทางร่วมกันโดยมีความสำเร็จขององค์กรเป็นเป้าหมาย  ผมจึงให้ทุกคนได้แบ่งกลุ่มและนำเชือกเชือกในมือไปผูกต่อกันเป็นเส้นเดียว....ก่อนนำมาวัดขนาดกันอีกครั้ง
...คนที่เคยพ่ายแพ้หลายคนกลับประสบความสำเร็จในกลุ่มที่มีเชือกยาวที่สุด ในขณะที่อีกหลายคนเคยมีชัยเมื่อแรกเริ่มกลับไปอยู่ในกลุ่มที่มีเชือกสั้นที่สุด....อาจเป็นเรื่องของโชคชะตา ที่ตัวเราต้องไปอยุ่ในองค์กรที่ไม่สามารถใช้ความแตกต่างขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายได้  แล้วเป็นเรื่องของโอกาสที่คนบางคนไม่เคยได้รับเมื่ออยู่เพียงลำพังแต่กลับเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จในองค์กรที่มีทางทอดยาวราวเส้นเชือกนำพาเราไปสู่อนาคตที่ดีได้
...ผมได้สะท้อนความคิดของความไม่ประมาท รู้ประมาณตน ไปพร้อมกับกำลังใจที่จะเดินหน้าสร้างโอกาสให้ตนเอง โดยไม่ย่อท้อกับโชคชะตาและสิ่งที่ได้รับมาของชีวิต  และบอกให้ทุกคนได้รู้ว่าเชือกเส้นเดียวไม่มีประโยชน์อะไรถ้าไม่มีเงื่อนที่ดีพอจะไปยึดโยงกับผู้อื่นดุจสัมพันธภาพและมนุษยสัมพันธ์เพราะมันคือกุญแจไขหัวใจของคนรอบข้างที่จะเชื้อเชิญคุณให้เดินเข้าไป...เชือกเส้นนี้จะเป็นตัวแทนของความเข้าใจตัวตนของตนเองคุณไม่รู้หรอกว่าคุณสำคัญแค่ไหนจนกว่าสิ่งที่คุณเป็นจะบอกคุณเอง....สักวันหนึ่ง















                                           (สัมมนาบุคลากรกองสื่อสารองค์กร  มิย 59)

อาวุธคือจิตใจ


ไม่มีอาวุธใดน่ากลัวเท่าจิตใจมนุษย์ 

 แม้เชือกเส้นเดียวที่อยู่ในมือของคนที่ขาดสติย่อมอันตรายนัก

(วิทยากรหลักสูตรอบรมหน่วยอารักขาบุคคลสำคัญมหาวิทยาลัยขอนแก่น)
พ.ศ. 2557

เชือกที่พันกัน


     
          ทุกคนมีปัญหาของชีวิตกันทั้งนั้นหนักบ้างเบาบ้างประเดประดังมาให้พิสูจน์ความแข็งแกร่งของจิตใจ ถ้าเอาชนะไม่ได้หาทางออกไม่เจอบางทีก็ต้องพยายามที่จะอยู่กับปัญหาแบบกัลยาณมิตร แล้วใช้ปัญหาเป็นเครื่องเตือนสติที่จะไม่ให้มันเกิดซ้ำๆ หรือรอเวลาอย่างใจเย็นค่อยๆคลี่คลายอย่างมีสติ
          ไม่แปลกที่เราจะรู้สึกว่าบางแห่งทำให้เรารู้สึกอึดอัด หรือใครบางคนทำให้เราอยากระเบิดอารมณ์ใส่ ทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าปัญหาของความรู้สึกลึกๆเหล่านั้นมากจากคนอื่นหรือหัวใจของเราที่ไม่เปิดกว้างกันแน่
          วันที่ผมหยิบเชือกที่พันกันยุ่งเหยิงออกมาจากถุงผ้ามันทำให้ผมรู้สึกถึงปัญหาใหญ่ที่คงทำให้ผมต้องเสียเวลาสะสางอยู่นานแน่ๆ บางทีก็หัวเสียและรู้สึกโมโหตัวเองที่ขาดระเบียบปล่อยปละละเลยให้เชือกพันกันติดแน่น โดยไม่จริงจังที่จะหยิบมาคลี่คลายสักครั้ง  แล้วถ้าเราจะเริ่มกับสิ่งที่เราได้ทำผิดพลาดไว้มันก็ดูยากขึ้นและคงต้องใช้เวลานาน
         ปลายของเชือกที่มีแค่ 2ด้านจะเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขเสมอๆ เวลามีปัญหาอะไรเรามักหมกมุ่นมองไปเพียงด้านใดด้านนึงเพื่อหาทางออกโดยมักลืมมองอีกมุมเสมอๆอาจด้วทิฐิ หรือ การไม่ยอมลดศักดิ์ศรีตัวตน จึงดึงดันไปในทางที่ตนมีความเชื่อหรือ มีอคติปะปนต่อคนที่เรารู้สึกว่าเป็นต้นตอของปัญหา
    ช่วงที่ต้องอดทนที่สุดคือการที่พยายามสอดปลายเชือกกลับไปกลับมาซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อหาทางออก มันไม่ได้ยากเกินแต่มันต้องใช้มานะและความเชื่อมั่นที่จะบรรลุเป้าหมาย จนวันที่เชือกทั้งกลุ่มถูกมัดขมวดปมไว้อย่างเป็นระเบียบนั่นแหระเราจึงรู้ตัวเราเองว่าเราผ่านช่วงที่ยากที่สุดของชีวิตมาแล้ว....จากวันนี้ไปเราพร้อมจะเดินหน้าและไม่ละเลยกับปัญหาที่อยู่ตรงหน้าอีกเลย



เชือกที่อ่อนแอ



              ในยามที่เราต้องมาทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีเป้าหมายร่วมกัน จะเป็นเวลาที่เราได้เห็นถึงระดับความสามารถของตนเองและผู้อื่นที่แสดงออกมา ขณะเดียวกันเราจะได้เห็นสมรรถนะที่เกี่ยวข้องกับทีม เช่นความเป็นผู้นำ  การเสียสละ การช่วยเหลือเกิ้อกูล และความทุ่มเทเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย หากทุกคนร่วมแรงร่วมใจเสมือนเชือกที่ถูกดึงรั้งให้ทุกกระเบียดนิ้วตรึงแน่นเป็นเส้นตรงส่งพลังไปสู่การดึงรั้งที่เป็นเอกภาพเราจะได้เห็นการเคลื่อนไปข้างหน้าขององค์กร  
           หลายปีที่ผ่านมาของชีวิตคนทำงานในองค์กรได้เจอคนหลากหลาย แตกต่างกันทั้งความคิด และรูปแบบของชีวิต ที่ต้องมาร่วมเดินทางจนบางครั้งผมรู้สึกเหมือนเราคงเคยมีอดีตชาติที่เคยทำบุญร่วมกัน หรือไม่ก็เคยสร้างกรรมร่วมกันมาก่อนจึงได้ต้องได้มาเจอะเจอ ผมเจอทั้งคนร่วมงานที่เข้มแข็งอุทิศชีวิตให้กับงาน ทั้งคนที่ย่อหย่อนจนน่าเอือมระอา ที่หนักสุดคือ เจอคนที่มีการแสดงออกแปลกแยก หมดสิ้นความสามรารถในการขับเคลื่อนองค์กร จนเพื่อนร่วมงานต่างสงสัยในพฤติกรรมบ้างก็เอามาล้อเลียนเป็นเรื่องตลกขบขัน บางคนถึงขั้นหวาดระแวง ดูแล้วเหมือนเชือกที่ไม่น่าจะใช้งานต่อไปได้จนทำให้เพื่อนร่วมงานต้องเข้ามาประคับประคอง ซึ่งแน่นอนว่าคงไม่มีใครเต็มใจนักหรอกที่จะต้องแบกภาระงานของคนๆนั้นในขณะที่ทุกคนก็มีงานของตนเองล้นมือ การช่วยเหลือย่อมทำให้เชือกที่มีขนาดยาวหนึ่งต้องใช้ความยาวนั้นมาประคับประคองส่วนที่เสียหาย....ผมไม่มีสิทธิ์ตัดสินหรอกว่าเราควรตัดส่วนที่เสียแล้วผูกปมปล่อยเชือกให้ยาวออกไปตามธรรมชาติ หรือ รัดรั้งต่อไปไม่สิ้นสุด
       เชือกหนี่งเส้น หากส่วนหนึ่งส่วนใดของเชือกย่อหย่อนขาดวิ่นไม่ใส่ใจในความรับผิดชอบ ย่อมเป็นธรรมดาที่เราต้องทดแทนส่วนที่ขาดแหว่ง และใช้กำลังที่เหลือเข้ามาเสริมทัพให้ความแข็งแกร่งของเชือกนั้นยังคงเดิม แต่แน่นอนว่าการเข้ามาแก้ไขทดแทนส่วนที่อ่อนล้าย่อมทำให้ส่วนอื่นมีผลกระทบ เชือกที่เคยยาวก็กลับต้องหดสั้นลง และมีโอกาสที่จะไปไม่ถึงเป้าหมายที่อยู่อีกฟาก
       เงื่อนผูกร่น หรือ เงือนทบเชือก (Sheepshank) เป็นวิธีการผุกเงื่อนเพื่อเสริมทดแทนส่วนที่ชำรุดขาดแหว่ง เพื่อให้เชือกทั้งเส้นยังคงมีความทนทานและพร้อมใช้งาน ขณะเดียวกันก็จะทำให้เชือกมีขนาดที่สั้นลงจากการผูกเงื่อนเช่นนี้