เงื่อนที่ผูกแน่นจนไม่อาจคลาย:ความสำเร็จที่ล้มเหลว

   
    
      
      “วางแผนก่อนการเริ่มต้น เพื่อป้องกันสิ่งที่เราไม่คาดคิด อาจทำให้งานช้าไปสักนิด แต่จะยั่งยืนกว่าการทำไปแก้ไป” 
       คือบทเรียนที่ได้รับจากครั้งที่พยายามฉุดลากเอารถแทรกเตอร์ขึ้นจากหลุมโคลน ด้วยเชือกลากที่ต้องการทำให้เป็นห่วงคล้องกับตะขอลากจูงจึงผูกขึ้นง่ายๆด้วยเงื่อนธรรมดาๆ แต่เมื่อแรงดึงเกิดขึ้นรถสามารถขึ้นจากหล่มโคลนได้ เหมือนว่าภารกิจก็สำเร็จลงแต่สิ่งที่กลายเป็นปัญหาที่ถูกทิ้งไว้หลังความสำเร็จคือเชือกที่กลายเป็นปมรัดแน่นจนไม่สามารถคลายออกได้อีกเลย
        เคยมาทบทวนตัวเองเสมอๆว่าหลายครั้งเราก็เจอการทำงานในแบบนี้ ที่ขาดการวางแผนจะด้วยความไม่รู้หรืออาจรู้แต่ด้วยเงื่อนไขมากมายที่เรามักนำมาเป็นข้ออ้างเหตุผลในใจก็ตามจึงก่อให้เกิดความขัดแย้งภายในองค์กรหลังความสำเร็จที่สวยหรูและเสียงปรบมือสนั่นเวที
        วันนี้ปมเชือกที่เขม็งรัดแน่นก็ยังอยู่ที่เดิมเพื่อเตือนสติ   ทุกครั้งที่ผมหยิบปมเชือกที่เกิดขึ้นจากการทำสิ่งที่ไม่วางแผนเพื่อเอามาคลี่คลายออกมันไม่เคยสำเร็จอีกเลย กลับกลายเป็นปมของบทเรียนที่ตอกย้ำความหละหลวมของชีวิต หรือจะมีข้อแย้งในใจว่าทุกการรียนรู้ใหม่มักต้องเกิดจากการสูญเสียมาก่อนทั้งนั้น...อันนี้ก็แล้วแต่ทัศนคติของใครก็ไม่ว่ากัน แต่หากความสำเร็จหนึ่งจะสมบูรณ์แบบมันคงไม่เป็นความสำเร็จบนปัญหาใหม่ๆหรอก หรือว่าเราซุกปัญหาไว้แล้วพยายามลืมมันไป
        หากเราจะลองมาขบคิดถึงเรื่องราวของปัญหาในชีวิตที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับปมเชือกนั้นน่าจะแบ่งออกเป็น 2 ด้านคือ 1.รู้ถึงปัญหาที่จะเกิดแต่ไม่ใยดีเพราะปัญหายังมาไม่ถึงหรือไม่ก็ปัญหาเป็นเรื่องของคนอื่นที่จะแก้ไข  และ 2. ขาดประสบการณ์แต่กลับต้องรับภาระสิ่งที่ตนเองยังไม่เคยได้เรียนรู้มาก่อนหรืออาจไม่ได้เตรียมตัวที่จะเผชิญกับสิ่งที่คาดไม่ถึง  ซึ่งโดยทัศนะของผมแล้วไม่ว่าจะมาจากข้อใดสิ่งที่เหมือนกันคือปัญหาใหม่  การรู้ถึงปัญหาแต่ไม่ใยดี กับ การไม่มีประสบการณ์ล้วนไม่ได้ดีไปกว่ากันเลย มันสะท้อนให้เห็นถึงการขาดการเตรียมใจและขาดการเตรียมตัว
         ผมเคยอยู่ท่ามกลางช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงมาหลายครั้ง  จนมายืนอยู่ที่จุดหนึ่งซึ่งมองเห็นว่า บางครั้งผมก็พยายามที่จะดิ้นรนออกแรงเพื่อให้วิ่งทันสิ่งที่เปลี่ยนไป แต่บางครั้งผมกลับพบว่าการนิ่งเฉยเพื่อให้สิ่งที่เรียกว่าความเปลี่ยนแปลงวิ่งผ่านเลยผมไปก็เป็นทางเลือกหนึ่งเช่นกัน  ปล่อยให้สิ่งนั้นไปหยุดนิ่งที่จุดหนึ่งแล้วค่อยเดินตามไปช้าๆ  ก้มหน้าปล่อยให้ผู้คนที่มาทีหลังได้วิ่งแซงนำไปท่ามกลางเสียงวิพากษณ์ถึงความล้าหลังทางความคิดในตัวผม เหมือนคนที่หวาดระแวง และเหมือนว่าพยายามสร้างเงื่อนไขกฏกติกามากมายเกินความจำเป็น....แต่ในระหว่างที่เดินตามไปช้าๆนั้นผมกลับมีเวลาที่จะพินิจสิ่งต่างๆ ที่อาจมองไม่เห็นหากคุณไปเร็วแล้วตามัวแต่จับจ้องมองเป้าหมาย มันคือความระแวดระวัง..ที่ไม่อยากให้ผู้คนลืมมองสิ่งรอบตัวรวมทั้งเพื่อนร่วมทางดีๆมากมาย
        เป้าหมายอาจเป็นสิ่งเดียวที่เราต้องไปให้ถึง แต่เป้าหมายที่สร้างความสำเร็จอาจไม่ได้ตอบโจทย์ทุกอย่างในชีวิต ปัญหาที่เกิดขึ้นตามมาได้สร้างผลกระทบทั้งต่อตัวคุณและทีมอาจทำให้คุณไม่สามารถก้าวต่อไปยังเป้าหมายอื่นได้ เกิดความสับสนและหวาดระแวง  หากจะเริ่มต้นอีกครั้งด้วยการวางแผนแล้วคิดหาลู่ทางก่อนก้าวเดิน สำรวจความพร้อมที่เป็นตัวของคุณเองน่าจะเป็นความมั่นคงและยั่งยืนมากกว่าการวิ่งไล่ล่าสิ่งที่คนอื่นบอกว่านั่นคือสิ่งที่คุณต้องทำ และทางนั้นคือทางที่คุณต้องเดิน.....จะได้ไม่ต้องมาเสียใจกับเงื่อนปมจากความเขลาขลาดและความประมาทที่มาจากตัวคุณเอง

      (alpine butterfly คือเงื่อนผู้ที่ใช้ในการทำห่วงฉุดรั้งลากจูง  ที่มีการผู้เงื่อนอย่างมีขั้นตอนเพื่อให้เงื่อนเชือกสามารถคลายออกได้ง่ายหลังการใช้งาน ซึ่งจะทำให้เชือกยังกลับมาใช้ประโยชน์อื่นๆได้อีก)
                                                         
                                                 วิธีการผูกเงื่อนalpine butterfly แบบที่ 1



วิธีการผูกเงื่อนแบบที่ 2 



เชือกเส้นแรก


 เชือกเส้นแรก

         .........วันนึง...ขณะนั่งมองเรือที่ถูกผูกโยงจอดเรียงรายอยู่ท่าน้ำ ต่างโยกคลอนไปตามแรงคลื่นที่กระทบเข้ามาเสียดสีกันดังอี้ดอ๊าด ปลายเชือกที่ผูกโยงด้วยเงื่อนปมที่ผมก็ไม่เข้าใจแต่รู้เพียงว่าแม้คลื่นจะแรงสักเพียงใดเรือเหล่านั้นก็ไม้อาจหลุดพ้นพันธนาการไปได้แต่  กลับดูเหมือนจะถูกรัดตรึงให้แน่นหนา  มากกว่าเดิม.....ก็แค่เชือกเส้นเล็กๆที่ควั่นขอดกลายเป็นสายโยขนาดพอเหมาะทำไมมันจึงสามารถเหนี่ยวรั้งอะไรไว้ได้
                      การเข้าใจตัวเองเกิดขึ้นได้ทั้งจาก การเข้าสู่กระบวนการเพื่อให้ผู้รู้ชี้นำว่าตัวเราเป็นอะไรอันนี้เรียกวิเคราะห์พฤติกรรม หรือ "รูปแบบความน่าจะเป็น" กับอีกแบบ คือการเข้าใจและตีความสิ่งที่อยู่ข้างหน้าจากการทำซ้ำๆเพื่อไปสู่แนวคิดของตนเองอย่างอิสระด้วยภูมิหลัง ประสบการณ์ และทักษะชีวิต เช่นเดียวกับผู้นำจิตวิญญาน และ นักวิทยาศาสตร์ของโลก พวกเค้าจะถูกปฏิเสธในก้าวแรกเสมอ ผมเรียก "การหยั่งรู้"
                (สหัสชญาณ : intuition  คือ การหยั่งรู้ การเข้าใจ การมองเห็นความสัมพันธ์อันเป็นความรู้ใหม่ และสามารถใช้ความรู้เดิมมาให้เหตุผลสิ่งที่เป็นความรู้ใหม่ได้ โดยยังไม่เคยได้รับการบอกเล่าเหตุผลนั้นจากใครมาก่อน)
                  วันที่ผมหยิบเชือกเส้นแรกขึ้นมาแล้วถักร้อยไปมาตามรูปแบบเมื่อ2ปีก่อนเพียงเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บที่มือหลังจากประสบอุบัติเหตุตามคำแนะนำของหมอกายภาพ...ผมเกิดความคิดว่าสิ่งนี้อาจซ่อนงำหลักการของความสัมพันธ์บางอย่างที่เราลืมสังเกต..อาจเป็นของขวัญจากใครสักคนที่ส่งมาถูกที่ถูกเวลา....ผมจึงเริ่มเดินหน้าค้นหา
 ..........มนุษย์เรารู้จักการผูกโยงยึดตรึงสิ่งของไว้ด้วยเชือกมาแต่โบราณ ด้วยคุณสมบัติที่อ่อนโอนยืดหยุ่นกลายเป็นจุดแข็งที่สมบูรณ์แบบ เชือกอยู่กับชีวิตประจำวันจนกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเชื่อ พิธีกรรม และเครื่องลางในหลายลัทธิ  เชือกเป็นอาวุธที่ซ่อนงำความร้ายกาจหากอยู่ในมือของผู้ฝึกฝน แต่ก็เป็นเครื่องมือในการช่วยเหลือชีวิต และ เชือกยังกลายเป็นส่วนหนึ่งขอความน่าฉงนของกลมายาที่ต้องหาคำตอบ  และความสวยงามของเครื่องประดับ
........ ด้วยความโอนอ่อนยืดหยุ่นของเชือกสามารถสะท้อนคติความคิดเชิงเปรียบเทียบกับอยู่ร่วมกันในสังคม  เมื่อเติมความคิดในการใช้เชือกให้เป็นประโยชน์ด้วยการผูกเป็น”เงื่อน” ที่มีหลายสิบเงื่อนแล้วแต่ละเงื่อนก็ถูกนำมาใช้ได้แตกต่างกัน   “ถ้าเชือกคือความเท่าเทียมกันของมนุษย์ที่ได้มาแต่กำเนิด  เงื่อนเชือกก็คือคุณสมบัติความสามารถที่ถูกเติมเสริมแต่ง”  เมื่อเชือกธรรมดาๆ1 เส้นถูกผูกด้วยเงื่อนกลายเป็นเครื่องมือที่มีคุณค่า คนเราก็แตกต่างกันด้วยสิ่งที่ใส่ลงไปทั้งความคิดและความสามารถ .........ด้วยหลักคิด 3 ประการของการผูก”เงื่อน” คือ ผู้เร็ว ผูกแน่น และ ปลดเร็ว ทำให้ฉุกคิดได้ว่าทักษะชีวิตก็ไม่ต่างกันมากนัก
         
  การผูกเร็ว   เปรียบกับ  ทักษะในการตัดสินใจหรือการปฏิบัติต่อสิ่งใดที่สามารถทำได้เลยโดยไม่ลังเล    การผูกแน่น   เปรียบกับ  ความเชี่ยวชาญในการทำสิ่งใดให้มีผลความสำเร็จสูง
 การปลดเร็ว   เปรียบกับ  ความคิดในการการวางแผนก่อนกระทำและรู้จักการแก้ไขปัญหา


.......เชือกเส้นเดียว แม้จะเต็มไปด้วยอรรถประโยชน์มากมายเพียงใด แต่เชือกเพียงหนึ่งเส้นก็มีข้อจำกัดของตนเองเสมอ เชือกมีความยาวเท่าที่ปลายข้างหนึ่งจะถูกแยกออกจากปลายอีกข้าง แต่อย่างไรเชือกเป็นสิ่งที่ยอมรับการเชื่อมต่อปลายแต่ละด้านได้ด้วยเชือกอีกเส้นแม้เชือกเส้นนั้นจะแตกต่างกันด้วยขนาดสักเพียงใดอยู่ที่รูปแบบของการผูกรัด ......หัวใจคนก็เช่นกัน




.







เชือกที่ผูกด้วยรัก


       
       วันที่ผมเริ่มเขียนบล็อกนี้ผมเฝ้าหาแรงบันดาลใจที่เกี่ยวข้องกับชีวิตโดยมี”เชือก”สักเส้นเข้าไปผูกเรื่องราวเหตุการณ์ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของผู้คนผ่านตัวอักษรและความนึกคิด
       แว๊บหนึ่งของมโนสำนึกเกิดขึ้นมาจากภาพเด็กชายคนคนหนึ่งในชุดลูกเสือที่มากับแม่ เด็กคนนั้นสวมรองเท้าผ้าใบสีน้ำตาล  ภาพของรองเท้าสีน้ำตาลเก่าๆปรากฏขึ้นในความทรงจำผมขึ้นมาทันทีแม้มันจะประติดประต่ออะไรไม่ได้มากนักเพราะมันก็ผ่านมากว่า 50 แล้ว แต่ผมเชื่อมั่นว่าผมเคยรู้สึกถึงมือทั้งสองข้างจาก "พ่อ-แม่"ที่บรรจงผูกเงื่อนหูกระต่ายและพร่ำสอนให้ผมหัดผูกเชือกรองเท้าก่อนที่จะส่งผมไปโรงเรียนในทุกๆเช้า
        เงื่อนเชือกทุกเงื่อนผูกด้วยเจตนา เพียงเพื่อให้เงื่อนเหล่านั้นได้ไปทำหน้าที่ตามเป้าหมาย   ยังมีเชือกที่ผูกด้วยหัวใจเพื่อให้เราได้ก้าวเดินในวันที่เราพร้อม สร้างความมั่นใจและอบอุ่นใจในวัยเด็กก่อนที่เราจะก้าวเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ เงื่อนที่ผูกด้วยหัวใจของความผูกพันใกล้ชิด เช่นเชือกรองเท้ามันคือสัญลักษณ์ที่ส่งต่อความรู้สึกอบอุ่นนี้ไปต่อไม่สิ้นสุด
       วันที่เรารู้สึกว้าเหว่ไม่มีใคร ผิดหวังกับคนแย่ๆในชีวิตเหมือนเดินมาถึงทางตันที่ไม่มีทางออก ลองหวลกลับไปคิดถึงเรื่องราวเก่าๆของชีวิตวัยเด็ก  ส่งความคิดถึงไปยังพ่อแม่ที่เป็นครูคนแรกของชีวิต จินตนาการถึงภาพที่ท่านนั่งลงผูกเชือกรองเท้าให้เราที่หน้าโรงเรียนในใจของท่านคงไม่หวังอะไรมากไปกว่าการที่ให้เรามีอนาคตก้าวเดินไปข้างหน้าโดยไม่สะดุดล้ม เชือกที่ผูกด้วยรักจะเป็นเชือกที่แข็งแรงที่สุดกว่าเชือกใดๆ และจะเป็นเชือกที่ไม่เคยเก่าเลยจากความคิดคำนึงของลูกแม้เวลาจะผ่านเลยมานานแสนนาน

(เอื้อเฟื้อภาพจากครอบครัว ดาวิกร-อเล็กซานเดอร์ ซิกส์)
   

เชือกที่ยืดได้


....เชือกที่ยืดได้ : เป็นคุณสมบัติที่ทำให้งานบางสิ่งบรรลุเป้าหมาย แต่เชือกเหล่านี้จะใช้งานได้ไม่นานเพราะการยืดหยุ่นจนเกินความสามารถ จะทำให้เชือกไร้สภาพเร็ว หากต้องนำไปใช้ร่วมกับเชือกอื่นๆจะกลายเป็นจุดเปราะบางที่สุด....องค์กรก็เหมือนกัน
.....คงมีคนค้านความคิดนี้อยู่ไม่น้อย อันนี้ผมรับได้ และคงมีคำถามตามมาว่าถ้าไม่มีการยืดหยุ่นหรือตึงเกินไปก็อาจขาดได้เช่นกันไม่เช่นนั้นจะมีคำว่า “เดินสายกลาง”ให้ได้ยินหรอกหรือ...อันนี้ก็จริงครับผมยอมรับ แต่เราลองมาคิดกันไหม่ไม๊ว่าหากกติกาสังคมได้เปิดช่องว่างให้มีใครสักคนสามารถใช้สิทธิ์ที่จะไม่ต้องเป็นไปตามนั้นด้วยคำว่ายืดหยุ่น  ที่อาจเกิดในสังคมหรือแม้แต่องค์กรเล็กๆ  ด้วยเหตุผลว่ายอมๆกันเพื่อ ”ความสบายใจ” หรือหลีกเลี่ยงการปะทะกันในวันที่เราต้องร่วมหัวจมท้าย จากนั้นไปจะเริ่มมีคนกล้าที่จะขอใช้สิทธิ์นี้มากขึ้นๆ  จนกลายเป็น”ค่านิยม”องค์กรที่เรายอมรับกัน
     แล้ววันหนึ่งวันที่องค์กรของเราต้องเข้าสู่สภาวการแข่งขันเราอาจพบอุปสรรคที่เราเก็บซ่อนไว้ใต้พรมปรากฏขึ้นมาจนยากที่จะขับเคลื่อน  การยืดหยุ่นเป็นสิ่งดีหากมันจะไม่ก้าวข้ามไปสู่ความหย่อนยานในกติกา  และที่สำคัญการลดหย่อนผ่อนปรนให้มีคนที่ไม่ต้องเคร่งครัดกับข้อตกลงจะไม่ได้สร้างวินัยให้กับคนๆนั้นเช่นเดียวกับการให้อภัยในความผิดพลาด  แต่กลับไปเพาะพันธุ์ความคิดให้กับคนที่เคร่งครัดได้เรียนรู้ที่จะตัวเองออกมาจากแรงกดดันในกติกาหันมาอยู่ฝากเดียวกันจนหมดสิ้น...ผมคิดเช่นนั้น
....ถ้าเชือกต้องเอามาผูกต่อกันให้ยาวออกไป เหมือนการทำงานที่ต้องเอาศักยภาพคนทั้งองค์กรมาประสานกันในการเคลื่อนสู่จุดหมาย คุณลองนึกภาพที่มีเชือกสัก 1-2เส้นที่ยืดหยุ่นได้ แน่นอนว่ามันจะเกาะเกี่ยวกับเชือกอื่นๆได้แน่นอน แต่ในวันที่เชือกทั้งเส้นต้องยึดโยงสิ่งใดจุดที่เปราะบางที่สุดจะเป็นจุดใดผมคงไม่ต้องอธิบาย
.....เราเลือกที่จะตั้งกติกาสังคมร่วมกันที่มาจากความคิดเห็นของทุกๆคน และดูแลรักษากติกานั้นให้ดี หากวันนึงเราไม่อาจเดินต่อได้ด้วยข้อตกลงที่อาจตึงหรือหย่อนเกินเราสามารถร่วมคิดร่วมแก้ไข แต่ไม่ปล่อยให้มีช่องโหว่เสมือนรูเล็กๆในเขื่อนขนาดมหึมาทีรอวันขยายตัวจนเกินกว่าแก้ไข







ชนะอุปสรรคด้วยความพยายาม

"fisherman"
เวลาที่เรามอง เราอาจไม่ได้เห็นสิ่งที่เรามอง
เพราะความคิดได้เข้ามาตีความสิ่งที่เราเห็น
ชาวประมงคนนี้พยายามเอาชนะสิ่งที่ไม่อาจควบคุมได้
คือ ธรรมชาติ
นำ้ลงจนเสาสูงพ้นกราบเรือ หากจะโยนเชือกให้คล้องได้อย่างที่เคยทำไม่ใช่เรื่องง่าย
ชีวิตมีความเปลี่ยนแปลง ความเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งเกินควบคุม
แต่เราเข้าใจมันได้และพยายามเพิ่มขึ้นได้

เชือกหลายเส้นรวมเป็นพลัง

     
         การเดินทางไปเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการสัมมนาที่จังหวัดตราดในครั้งนั้นแตกต่างออกไปเมื่อผมได้รับหน้าที่ให้จัดหากิจกรรมเพื่อให้ผู้ร่วมสัมมนาได้มีโอกาสทำร่วมกันเกิดภาพของความร่วมมือกันตามเจตนารมณ์ของผู้นำองค์กร
        ทั้งๆที่รู้ว่ามันอาจต้องใช้เวลาในการเตรียมการ ไหนจะจัดหาอุปกรณ์ แต่ผมไม่ปฏิเสธเพราะถือเป็นโอกาสทองของการได้นำแนวคิดเชิงตรรกด้วยเชือกมาเพื่อให้ทุกคนได้คิดร่วมกันภายใต้คอนเซป “แตกต่างอย่างมีเป้าหมาย” และพูดหยอกล้อกับเพื่อนพ้องผู้ร่วมกิจกรรมว่า “ไม่สนุกแต่ฉลาด” โดยเปิดแนวคิดแรกว่า เราจะไม่สรุปอะไรทั้งนั้นจากกิจกรรมที่ทำในแบบคำพูด “เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า.....”แต่เราเชื่อว่าบริบทของชีวิตในแต่ละคนจะตีความสิ่งที่ทำในวันนี้ได้แตกต่างกัน...ซึ่งล้วนจะนำไปสู่แง่คิดเชิงบวกของสัมพันธภาพองค์กร
       เริ่มที่เชือกซึ่งทุกคนได้รับไปล้วนแตกต่าง แล้วนำไปสู่การเชื่อมต่อเพื่อเกื้อหนุนกันไปสู่ภารกิจสุดท้ายที่ทุกคนจะได้ร่วมกันออกแบบความคิดของการนำลูกบอลไปสู่เป้าหมายโดยมีเชือกที่มาจากทุกคนยึดโยงไว้....ผมเห้นความลุ่มลึกของความคิดหลายกลุ่ม
      ผมได้เห็นแรงกดดันที่ทำให้ทุกคนหันหน้าเข้าปรึกษาหารือกันด้วยรู้ว่ามันคือความรับผิดชอบร่วมกันของชะตากรรมที่ได้มาอยู่ในกลุ่ม  ผมได้ใช้เทคนิควิธีในการสร้างผู้นำนอกรูปแบบขึ้น โดยเป็นคนที่ผมได้สอนการผูกเงื่อนเชือกไว้ล่วงหน้าเพื่อเป็นตัวแทนอาสาในการถ่ายทอดความรู้ผมเรียกพวกเขาว่า”ผู้หยั่งรู้” เมื่อกิจกรรมเริ่มขึ้นเราเพียงสร้างแรงกดดันให้ทุกคนที่ต้องเรียนรู้การผูกเงื่อนเชือกในเวลาจำกัดจากวิทยากรที่สอนเพียงครั้งเดียว  มันได้ก่อปฏิกริยาสำหรับผู้ที่ยังไม่สามารถทำตามได้ แต่เมื่อเราเฉลยว่าในกลุ่มเรามีผู้หยั่งรู้ ทุกคนต่างมองหาแล้วยอมรับที่จะเรียนรู้กับพวกเขา  มันก็เหมือนกับการที่หน่วยงานได้รับโจทย์ยากของการทำงานที่สั่งลงมา มันไม่ใช่เวลาที่จะตั้งคำถามแต่มันเป็นเวลาที่ต้องมองหาทางออกร่วมกันซึ่งแน่นอนว่าอาจมีคนที่มองเห็นแสงที่ปลายอุโมงค์ก่อนใครทั้งที่เขาอาจไม่ใช่คนหัวแถวเลยก็ได้
    ความอิ่มเอมใจกลับมาเกาะกุมความรู้สึกของผมเมื่อผู้นำองค์กรได้ขึ้นเวทีเพื่อสรุปประเด็นความคิดจากการสัมมนา  กิจกรรมเงื่อนเชือกความคิดของผมเป็น1ในประเด้นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นข้อคิดว่า “ผมได้เข้าใจแล้วว่าหน่วยงานเรามีความแตกต่างเหมือนเชือกทั้ง 29 เส้นแต่เมือเอามารวมกันมันสามารถสร้างพลังความสำเร็จได้” ข้อสรุปนี้ เพื่อให้ทุกคนได้มองเห็นโอกาสของการก้าวเดินไปในทิศทางเดียวกัน
    ค่ำคืนนั้นทุกคนถือเชือกติดมือมาที่งานเลี้ยงโดยได้ถักเป็นเงื่อน SNAKE BONE เพื่อมารับรางวัล เป็นความคิดของผมเองที่อยากให้ทุกคนได้มีเวลาอยู่กับจิตใจของตนเองที่จะอดทนทำอะไรเพื่อตัวเองบ้าง มันอาจเริ่มจากสิ่งเล็กๆเช่นการถักเชือก ให้หัวใจได้มีเวลาไตร่ตรองเพื่อเปิดกกว้างยอมรับสิ่งที่ไม่เคยลองแต่นำไปสู่ความเข้าใจในตนเองหลังการจดจ่อต่อสิ่งใดสักสิ่ง มันอาจคล้ายกับคำว่า “สมาธิ”...มันอาจไม่ใช่ทุกคนที่เข้าถึงได้หรอกอันนี้ผมเข้าใจดี แต่อาจมีสัก 1 คนที่แว๊บความรู้สึกต่อสิ่งนี้ขึ้นมาตอนที่หยิบเชือกเก่าๆที่ผ่านการถักร้อยด้วยมือเราเองขึ้นมาดูรายละเอียดที่วนไปมาของเงื่อนแล้วก่อตัวเป็นผลงาน...ผมก็ถือทุกคนเป็นครูที่มาเติมเต็มความคิดของผมเช่นกัน งานครั้งนี้บรรลุเป้าหมายในใจของการเดินทางแล้ว....ขอบคุณทุกคน



                        

เชือกที่เปลี่ยนขนาดได้



.....เชือกที่สั้นอย่างเดียวดาย แต่กลายเป็นพลังของกลุ่ม
.....ด้วยความคิดที่ว่า”คนย่อมมีความแตกต่าง” แต่ความแตกต่างสามารถสร้างพลังที่เหลือล้นได้
....ผมเพียงให้ทุกคนได้แทนตัวเองด้วยเชือกเพียงเส้นเดียวที่อยู่ในมือแล้วบอกถึงสิ่งที่เป็นตัวตนของเรา บางคนอาจมีสีสรรที่สดใส บางคนอาจมีเส้นที่ใหญ่โตน่าเกรงขาม บางคนเป็นเหมือนเชือกเก่าๆที่ดูไร้เสน่ห์ แต่สิ่งเหมือนกันคือเราเป็นเพียงเชือกเส้นเดียว เราอาจภูมิใจในความเป็นตัวตนหรือทดท้อกับโชคชะตาที่ได้มาแต่แรก
...เมื่อเวลาที่เราต้องก้าวออกมาสู่โลกความเป็นจริง  สิ่งแวดล้อมทำให้เราต้องพาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนรอบข้างทั้งที่อาจต้องเดินร่วมทางหรือสวนทางมาในชีวิต เมื่อบอกให้ทุกคนเอาเชือกของตัวเองไปวัดขนาดความยาวกับคนรอบข้างเป็นเวลาที่เราได้รู้จักตัวตนของตัวเองมากขึ้น  บางคนได้รับชัยชนะ บางคนพ่ายแพ้...เชือกในมือของตัวเองยาวไม่พียงพอที่จะคว้าชัยของชีวิตมาได้
...ครั้งต่อไปเมื่อเราต้องเดินทางร่วมกันโดยมีความสำเร็จขององค์กรเป็นเป้าหมาย  ผมจึงให้ทุกคนได้แบ่งกลุ่มและนำเชือกเชือกในมือไปผูกต่อกันเป็นเส้นเดียว....ก่อนนำมาวัดขนาดกันอีกครั้ง
...คนที่เคยพ่ายแพ้หลายคนกลับประสบความสำเร็จในกลุ่มที่มีเชือกยาวที่สุด ในขณะที่อีกหลายคนเคยมีชัยเมื่อแรกเริ่มกลับไปอยู่ในกลุ่มที่มีเชือกสั้นที่สุด....อาจเป็นเรื่องของโชคชะตา ที่ตัวเราต้องไปอยุ่ในองค์กรที่ไม่สามารถใช้ความแตกต่างขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายได้  แล้วเป็นเรื่องของโอกาสที่คนบางคนไม่เคยได้รับเมื่ออยู่เพียงลำพังแต่กลับเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จในองค์กรที่มีทางทอดยาวราวเส้นเชือกนำพาเราไปสู่อนาคตที่ดีได้
...ผมได้สะท้อนความคิดของความไม่ประมาท รู้ประมาณตน ไปพร้อมกับกำลังใจที่จะเดินหน้าสร้างโอกาสให้ตนเอง โดยไม่ย่อท้อกับโชคชะตาและสิ่งที่ได้รับมาของชีวิต  และบอกให้ทุกคนได้รู้ว่าเชือกเส้นเดียวไม่มีประโยชน์อะไรถ้าไม่มีเงื่อนที่ดีพอจะไปยึดโยงกับผู้อื่นดุจสัมพันธภาพและมนุษยสัมพันธ์เพราะมันคือกุญแจไขหัวใจของคนรอบข้างที่จะเชื้อเชิญคุณให้เดินเข้าไป...เชือกเส้นนี้จะเป็นตัวแทนของความเข้าใจตัวตนของตนเองคุณไม่รู้หรอกว่าคุณสำคัญแค่ไหนจนกว่าสิ่งที่คุณเป็นจะบอกคุณเอง....สักวันหนึ่ง















                                           (สัมมนาบุคลากรกองสื่อสารองค์กร  มิย 59)

อาวุธคือจิตใจ


ไม่มีอาวุธใดน่ากลัวเท่าจิตใจมนุษย์ 

 แม้เชือกเส้นเดียวที่อยู่ในมือของคนที่ขาดสติย่อมอันตรายนัก

(วิทยากรหลักสูตรอบรมหน่วยอารักขาบุคคลสำคัญมหาวิทยาลัยขอนแก่น)
พ.ศ. 2557

เชือกที่พันกัน


     
          ทุกคนมีปัญหาของชีวิตกันทั้งนั้นหนักบ้างเบาบ้างประเดประดังมาให้พิสูจน์ความแข็งแกร่งของจิตใจ ถ้าเอาชนะไม่ได้หาทางออกไม่เจอบางทีก็ต้องพยายามที่จะอยู่กับปัญหาแบบกัลยาณมิตร แล้วใช้ปัญหาเป็นเครื่องเตือนสติที่จะไม่ให้มันเกิดซ้ำๆ หรือรอเวลาอย่างใจเย็นค่อยๆคลี่คลายอย่างมีสติ
          ไม่แปลกที่เราจะรู้สึกว่าบางแห่งทำให้เรารู้สึกอึดอัด หรือใครบางคนทำให้เราอยากระเบิดอารมณ์ใส่ ทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าปัญหาของความรู้สึกลึกๆเหล่านั้นมากจากคนอื่นหรือหัวใจของเราที่ไม่เปิดกว้างกันแน่
          วันที่ผมหยิบเชือกที่พันกันยุ่งเหยิงออกมาจากถุงผ้ามันทำให้ผมรู้สึกถึงปัญหาใหญ่ที่คงทำให้ผมต้องเสียเวลาสะสางอยู่นานแน่ๆ บางทีก็หัวเสียและรู้สึกโมโหตัวเองที่ขาดระเบียบปล่อยปละละเลยให้เชือกพันกันติดแน่น โดยไม่จริงจังที่จะหยิบมาคลี่คลายสักครั้ง  แล้วถ้าเราจะเริ่มกับสิ่งที่เราได้ทำผิดพลาดไว้มันก็ดูยากขึ้นและคงต้องใช้เวลานาน
         ปลายของเชือกที่มีแค่ 2ด้านจะเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขเสมอๆ เวลามีปัญหาอะไรเรามักหมกมุ่นมองไปเพียงด้านใดด้านนึงเพื่อหาทางออกโดยมักลืมมองอีกมุมเสมอๆอาจด้วทิฐิ หรือ การไม่ยอมลดศักดิ์ศรีตัวตน จึงดึงดันไปในทางที่ตนมีความเชื่อหรือ มีอคติปะปนต่อคนที่เรารู้สึกว่าเป็นต้นตอของปัญหา
    ช่วงที่ต้องอดทนที่สุดคือการที่พยายามสอดปลายเชือกกลับไปกลับมาซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อหาทางออก มันไม่ได้ยากเกินแต่มันต้องใช้มานะและความเชื่อมั่นที่จะบรรลุเป้าหมาย จนวันที่เชือกทั้งกลุ่มถูกมัดขมวดปมไว้อย่างเป็นระเบียบนั่นแหระเราจึงรู้ตัวเราเองว่าเราผ่านช่วงที่ยากที่สุดของชีวิตมาแล้ว....จากวันนี้ไปเราพร้อมจะเดินหน้าและไม่ละเลยกับปัญหาที่อยู่ตรงหน้าอีกเลย



เชือกที่อ่อนแอ



              ในยามที่เราต้องมาทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีเป้าหมายร่วมกัน จะเป็นเวลาที่เราได้เห็นถึงระดับความสามารถของตนเองและผู้อื่นที่แสดงออกมา ขณะเดียวกันเราจะได้เห็นสมรรถนะที่เกี่ยวข้องกับทีม เช่นความเป็นผู้นำ  การเสียสละ การช่วยเหลือเกิ้อกูล และความทุ่มเทเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย หากทุกคนร่วมแรงร่วมใจเสมือนเชือกที่ถูกดึงรั้งให้ทุกกระเบียดนิ้วตรึงแน่นเป็นเส้นตรงส่งพลังไปสู่การดึงรั้งที่เป็นเอกภาพเราจะได้เห็นการเคลื่อนไปข้างหน้าขององค์กร  
           หลายปีที่ผ่านมาของชีวิตคนทำงานในองค์กรได้เจอคนหลากหลาย แตกต่างกันทั้งความคิด และรูปแบบของชีวิต ที่ต้องมาร่วมเดินทางจนบางครั้งผมรู้สึกเหมือนเราคงเคยมีอดีตชาติที่เคยทำบุญร่วมกัน หรือไม่ก็เคยสร้างกรรมร่วมกันมาก่อนจึงได้ต้องได้มาเจอะเจอ ผมเจอทั้งคนร่วมงานที่เข้มแข็งอุทิศชีวิตให้กับงาน ทั้งคนที่ย่อหย่อนจนน่าเอือมระอา ที่หนักสุดคือ เจอคนที่มีการแสดงออกแปลกแยก หมดสิ้นความสามรารถในการขับเคลื่อนองค์กร จนเพื่อนร่วมงานต่างสงสัยในพฤติกรรมบ้างก็เอามาล้อเลียนเป็นเรื่องตลกขบขัน บางคนถึงขั้นหวาดระแวง ดูแล้วเหมือนเชือกที่ไม่น่าจะใช้งานต่อไปได้จนทำให้เพื่อนร่วมงานต้องเข้ามาประคับประคอง ซึ่งแน่นอนว่าคงไม่มีใครเต็มใจนักหรอกที่จะต้องแบกภาระงานของคนๆนั้นในขณะที่ทุกคนก็มีงานของตนเองล้นมือ การช่วยเหลือย่อมทำให้เชือกที่มีขนาดยาวหนึ่งต้องใช้ความยาวนั้นมาประคับประคองส่วนที่เสียหาย....ผมไม่มีสิทธิ์ตัดสินหรอกว่าเราควรตัดส่วนที่เสียแล้วผูกปมปล่อยเชือกให้ยาวออกไปตามธรรมชาติ หรือ รัดรั้งต่อไปไม่สิ้นสุด
       เชือกหนี่งเส้น หากส่วนหนึ่งส่วนใดของเชือกย่อหย่อนขาดวิ่นไม่ใส่ใจในความรับผิดชอบ ย่อมเป็นธรรมดาที่เราต้องทดแทนส่วนที่ขาดแหว่ง และใช้กำลังที่เหลือเข้ามาเสริมทัพให้ความแข็งแกร่งของเชือกนั้นยังคงเดิม แต่แน่นอนว่าการเข้ามาแก้ไขทดแทนส่วนที่อ่อนล้าย่อมทำให้ส่วนอื่นมีผลกระทบ เชือกที่เคยยาวก็กลับต้องหดสั้นลง และมีโอกาสที่จะไปไม่ถึงเป้าหมายที่อยู่อีกฟาก
       เงื่อนผูกร่น หรือ เงือนทบเชือก (Sheepshank) เป็นวิธีการผุกเงื่อนเพื่อเสริมทดแทนส่วนที่ชำรุดขาดแหว่ง เพื่อให้เชือกทั้งเส้นยังคงมีความทนทานและพร้อมใช้งาน ขณะเดียวกันก็จะทำให้เชือกมีขนาดที่สั้นลงจากการผูกเงื่อนเช่นนี้

ผูกเชือกที่ปากช่อง

   

         ผมตอบรับทันทีที่ได้รับการติดต่อจากเพื่อนปิติ วิศวกรที่ผันชีวิตมาทำกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์  เพื่อให้ผมไปเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมเพิ่มพูนทักษะให้กับสมาชิกพนักงานของบริษัทแห่งหนึ่งใน ซึ่งเดินทางมาเพื่อการสัมมนาที่ อ.ปากช่อง  ผมรู้ทันทีว่านั่นคือโอกาสที่ผมจะได้เริ่มทดลองกิจกรรมส่งเสริมความคิดโดยใช้เงื่อนเชือกเป็นเครื่องมือ  ตามหลักการที่ผมได้ออกแบบไว้ภายใต้ชื่อ “เทคนิคแคมป์” โดย อีเกิ้ลแคมป์โคราช สถานที่ในวันนั้นคือ ไร่ 3 พ. สวนกล้วยสลับพืชพนานาพรรณของอาจารย์ณรงค์ ที่ตั้งอยู่ริมลำน้ำลำตะคอง ซึ่งสามารถรองรับการพักแรมของผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 30 คนที่มาในวันนั้นได้อย่างสบาย
        ผมเริ่มที่จะให้ทุกคนรู้จักการใช้เงื่อนเชือกเพื่อประโยชน์ด้านต่างๆที่เกี่ยวกับการเดินทางท่องเที่ยว การผูกเต็นท์  การผูกฟลายชีท ผูกเสารั้งสมอบก และจบลงด้วยเงื่อน snake bone เพื่อทำพวงกุญแจหรือปรับเป็นเชือกหัวซิปของกระเป๋าเป้แบบมีสไตล์ด้วยผลงานฝีมือของตัวเอง
     ระหว่างการผูกรั้งเงื่อนเชือกแต่ละชนิดผมได้สอดแทรกแนวคิดเชิงตรรกให้กับผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรม ทั้งแนวคิดของเชือกที่ต้องมีเงื่อนปมเพื่อให้เกิดประโยชน์เสมือนคนที่มีศักยภาพในการทำงานย่อมเป็นสิ่งที่องค์กรปรารถนาหรือแนวคิดจากเชือกเส้นใหญ่ที่ถูกถักทอขึ้นจากเชือกเส้นเล็กเพื่อสอนถึงพลังความร่วมมือ  สอนการผูกรั้งปลายเต็นท์กับสมอบกที่สามารถปรับยืดหดได้เสมือนการปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมและผู้คนรอบข้างเพื่อให้งานมีประสิทธิภาพ  เชือกที่ปลดรั้งได้เร็วคือการวางแผนอย่างมีขั้นตอน
    แม้ชีวิตของคนเมืองเช่นพวกเขาอาจแทบไม่ได้ใช้เงื่อนเชือกอะไรนักในชีวิตประจำวันแต่ เราได้เห็นความตั้งใจของทุกคนที่อยากเรียนรู้ และแสดงออกถึงการตอบสนองต่อแนวคิดอันเป็นสัจจะในขณะที่มือก็ถักทอร้อยรัดเชือกให้เป็นเงื่อนปมตามที่วิทยากรได้แสดงให้เห็น  บางคนหันหน้าเข้าหากันแลกเปลี่ยนและให้ความช่วยเหลือกัน มันคือภาพความสำเร็จเบื้องต้นอันเป็นแสงส่องใจไปสู่ความสำเร็จที่ใหญ่กว่าคือพลังความร่วมมืออันมาจากคนที่เข้าใจชีวิต
 
      จากเชือกเส้นเดียวในมือกลายเป็นของขวัญที่ทุกคนถือกลับไปเป็นพวงกุญแจเชือกเล็กๆที่ทำขึ้นเอง....และหัวใจที่ถูกแต้มเติมความคิดตลอดกิจกรรม  แม้สิ่งเล็กๆนี้ไม่อาจเปลี่ยนทัศนคติใดๆที่ถูกหล่อหลอมฝังแน่นในตัวตนมาตลอดชีวิตก็จริงอยู่...แต่อย่างน้อยมันอาจเป็นส่วนผสมเล็กๆในความคิดของพวกเค้า...ในยามที่หยิบเชือกเส้นนนี้ขึ้นมาดูอีกสักครั้ง....แค่นี้ผมก็สุขใจ

                                  #######





(10 มค. 58 บรรยายเทคนิคแคมป์  ที่ ไร่ 3 พ. อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา จัดโดย โคราชคายัคคลับ)

ความไว้วางใจที่ปลายเชือก




       แม้เราจะรู้สึกว่ารอบกายเต็มไปด้วยการแก่งแข่งแข่งขันจนดูว่าโลกนี้ช่างน่าระแวงไปเสียสิ้น  แต่เชื่อเลยว่าคุณต้องมีความเชื่อใจต่อใครสักคนจนอาจเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของเราเองได้โดยไม่รู้ตัว สิ่งนี้อาจมาจากเชื่อมั่นในแนวทาง ความคิด หรือแม้การปฏิบัติที่บอกถึงความเชี่ยวชาญ แต่เหนืออื่นใดมันคือ “ความไว้วางใจที่มาจากมิตรภาพ”
       วันแรกที่ก้าวเข้าสู่การฝึกภาคปฏิบัติมันคือวันเดียวกับการที่ผมได้มีโอกาสเรียนรู้เทคนิควิธีขั้นสูงอย่างหนึ่งของหน่วยงานหนึ่งที่ถูกเรียกว่า “ราชพิทักษ์” นั่นคือการโรยตัวจากที่สูงด้วยเทคนิคอุปกรณ์พื้นฐานจากเชือกเพียงเส้นเดียวที่ถูกร้อยรัดเป็นเงื่อนปมแทนอุปกรณ์ความปลอดภัยอื่นๆที่มีใช้กัน หัวหน้าทีมซึ่งเป็นน้องที่มีความเคารพนับถือกันของผมซึ่งเราต่างเรียกกันและกันด้วยคำนำหน้าว่า”ครู “ เขาได้บอกว่ามันคือการเรียนรู้การผูกเงื่อนเพื่อการช่วยชีวิตผู้อื่นและตนเองในสภาวะคับขันที่อาจไม่มีทางเลือก แต่ผมกลับรู้สึกว่าการปฏิบัติเช่นนี้มันมันมีคุณค่ามากกว่าความรู้ทางยุทธวิธีแต่มันคือการเรียนรู้ที่จะไว้วางใจต่อใครสักคนด้วยเดิมพันที่สูง ระหว่างที่ครูทำการผูกรัดเชือกรั้งตัว   ผมไม่วายที่จะถามตัวเองว่าสิ่งที่มาเรียนรู้จะได้ประโยชน์อะไรเพราะงานในหน้าที่ของผมมันใช้เวลาอยู่หลังจอคอมพิวเตอร์มากกว่าการออกมาเพื่อปฏิบัติการด้านความปลอดภัยและการอารักขาบุคคลเช่นเดียวกับพวกเขา..แล้วคนที่ไม่ได้ฝึกฝนพื้นฐานใดๆมาก่อนอย่างผมจะผ่านภารกิจนี้ได้หรือ....ซึ่งผมกลับได้คำตอบด้วยตัวเองเมื่อภารกิจเสร็จสิ้นคือหัวใจที่ มีความเชื่อมั่นและให้เกียรติต่อผู้อื่นเสมอเหมือนเกียรติที่ตนเองมี  ยอมรับในความเชี่ยวชาญของผู้อื่น เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ให้ต่อไป
        การฝึกโรยตัวจากที่สูง ของเหล่าครูฝึกราชพิทักษ์ เป็นหลักสูตรเพื่อเตรียมความพร้อมในการอารักขาบุคคลสำคัญของมหาวิทยาลัยขอนแก่นที่ได้รับความไว้วางใจและสะท้อนผลจากหน่วยงานหลักว่ามีสมรรถนะที่พร้อมยิ่งในการปฏิบัติงานทุกวันนี้การผูกเงื่อนเชือกเพื่อการโรยตัวยังมีใช้กันในการฝึกเพื่อการเรียนรู้ แต่ก็ลดความนิยมลงจากการที่มีอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยใหม่เข้ามาทดแทน เพราะหลายคนมองว่าเป็นเทคนิควิธีที่ล้าสมัย ขาดมาตรฐาน
       จะอย่างไรก็ตาม “เชือกเส้นเดียว”ที่ร้อยรัดรอบกายเพื่อการโรยตัวได้ผูกมัดมิตรภาพให้แนบแน่นมากยิ่งขึ้น มีภาระกิจบางอย่างที่เราไม่อาจทำด้วยตัวเองเพียงลำพังจนสำเร็จได้แต่เราสามารถที่จะแลกความไว้วางใจจากคนรอบข้างได้ ในทางกลับกันหากเราคือผู้ที่ได้รับความไว้วางใจต้องปลูกความเชื่อมั่นและศรัทธาให้เกิดขึ้นด้วยความเชี่ยวชาญ เพื่อทำให้เชือกธรรมดาๆสักเส้นกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังทางความคิดให้จงได้

อุดมชัย
(ขอบคุณ บดินทร์ธร กุตัน สำนักงานรักษาความปลอดภัยและการจราจร มข.)
 

เชือกยาวไม่เท่ากัน

                           
                               มีคนบอกว่าของทุกสิ่งจะเป็นสิ่งเดียวในโลก.....อันนี้ท่าจะจริง
                        แม้สิ่งนั้นจะจงใจทำให้เหมือนเช่นไรเราก็หาความแตกต่างเจอเสมอๆ
       ผมลองพิจาณาเชือกหลายเส้นที่อยู่ในมือแล้วพบว่ามันมีความแตกต่างกัน ทั้งสีสรร รายละเอียด ที่เห็นได้ชัดคือขนาดของขนาดความยาว แม้เราจะประจงตัดให้เท่ากันแล้วก็ยังพบความแตกต่างอื่นๆอยู่ดี
      มนุษย์อาจมีรูปลักษณ์ภายนอกที่ได้มาเหมือนๆกัน ยิ่งเป็นฝาแฝดด้วยแล้วยิ่งมีความคล้ายคลึงกันมากแต่เชื่อได้เลยว่าไม่ทุกสิ่งที่เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่ซ่อนเร้นภายในซึ่งจะปรากฏออกมาเช่น ความรู้สึก ทัศนคติ แม้แต่ความสามารถพิเศษ ย่อมมีความแตกต่าง  สิ่งที่แตกต่างเหล่านี้หล่อหลอมและฝึกฝนได้
       เงื่อนปมที่ปรากฏบนสายเชือกเป็นส่วนหนึ่งของอัตตลักษณ์ของความแตกต่างที่ถูกสร้างขึ้น  ทัศนคติและความเชื่อของคนก็ต้องผ่านกระบวนการหล่อหลอม การจะสร้างความยอมรับในสิ่งใดหรือต่อคนๆไหนไม่สามารถทำได้เพียงการบอกเล่าเพราะความแตกต่างทางความคิดจะตีความสิ่งที่เห็นตามบริบทแห่งชีวิตที่เป็นพื้นฐาน
     หากมองความแตกต่างนี้ต่อการดำเนินชีวิตจะเป็นได้ทั้งอุปสรรค และ โอกาส เพราะความแตกต่างที่ไม่สามารถบริหารจัดการได้จะนำมาซึ่งการขัดแย้งในหมู่คนหรือแม้แต่องค์กร ผมเองได้อยู่ในองค์กรที่เต็มไปด้วยคนทำงานที่แตกต่างกันของวัย จะพบความไม่เข้าใจกันในด้านความคิดอยู่เป็นระยะต่างคนต่างมองไปอีกด้านมากกว่าที่จะมองกลับมาที่ตัวเองซึ่งมันยากกว่า แต่ก็พบโอกาสเล็กๆเช่นกันในบางคนที่เริ่มเข้าใจและยอมรับกันและกันแม้จะต่างกันในเรื่องเพศวัย อาจเพราะพวกเขาเริ่มค้นพบว่าการที่เราต้องอยู่ร่วมกันต้องพึ่งพากันที่จะขับเคลื่อนความสำเร็จได้ง่ายกว่า ซึ่งแน่นอนว่าความสำเร็จนั้นก็จะเป็นการปูทางสู่อนาคตและเงินเดือนที่ดีสูงขึ้น หากมัวแต่ขัดแย้งอาจไม่มีใครไปถึงเป้าหมายได้แม้สักคน
   ความแตกต่างจะเป็นโอกาสถ้าเรามีเป้าหมายร่วมและมีระบบจัดการที่ดี เหมือนวงดนตรีขนาดใหญ่ที่ต้องประสานเสียงไปพร้อมๆกัน...โดยมีวาทยากรที่จริงจังและเข้มแข็งยืนอยู่ข้างหน้า



ก่อนจะเป็นเชือกเส้นใหญ่

     ก่อนจะเป็นเชือกเส้นใหญ่


         เมื่อหยิบเชือกขึ้นมาสัก 1 เส้นแล้วลองดูอย่างพินิจ แทบจะไม่เคยพบเลยว่าจะมีเชือกเส้นไหนที่ถูกสร้างขึ้นมาให้มีเนื้อเดียวกัน แต่กลับเจอเชือกเส้นเล็กๆที่อยู่ภายในหรือขวั้นเกลียวร้อยรัดขึ้นรูปเป็นเชือกเส้นใหญ่ แตกต่างกันไปตามลักณะการใช้งาน  เชือกเล็กๆเหล่านี้ คือต้นกำเนินที่สร้างความเหนียวทนให้กับเชือกและเพิ่มคุณสมบัติพิเศษให้กับเชือกเส้นโตได้มีคุณค่าเช่น ความทนทาน ความยืดหยุ่นตัว หรือแม้แต่สีสันความสวยงาม
        เชือกหนึ่งเส้น หากแทนองค์กรบอกได้ถึงความสำคัญของสมาชิกที่มีความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน แต่หากแทนบุคคลย่อมหมายถึงการก้าวขึ้นสู่บทบาทที่สูงกว่าย่อมต้องการการสนับสนุนของผู้ที่อยู่ร่วมกัน โดยระลึกไว้ว่าเชือกเส้นเล็กๆเหล่านี้หากขาดการดูแลปล่อยปละละเลยให้ขาดวิ่นทีละเล็กทีละน้อย ความห่างเหินของสัมพันธภาพ ขาดการให้เกียรติกัน นานไปเชือกเส้นใหญ่โตก็ไม่อาจเป็นที่มั่นใจหรือใช้งานได้อีกต่อไป

อุดมชัย


สัมพันธภาพบนความต่าง



         พฤติกรรมของการแสดงออกต่อกันมีความสำคัญยิ่งในการอยู่ร่วมกันในองค์กร ด้วยความแตกต่างจะก่อกำแพงสูงให้คนจิตนาการในตัวตนของตัวเองไว้เป็นเบื้องต้น เช่น เราจบการศึกษาที่สูงกว่าย่อมเข้าใจงานได้ดีกว่า  เราคือคนที่มาก่อนจึงต่อองค์กรจนขาดไม่ได้ เราคือผู้นำย่อมควรได้รับเกียรติ สื่งเหล่านี้จะก่อลักษณะการแสดงออกที่เป็นอุปสรรคในการเข้าหาเพื่อสร้างสัมพันธ์ที่ดี ไปจนถึงการพาภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กรดิ่งลงเหว การยอมรับซึ่งกันและกันบนความแตกต่างเป็นเรื่องยากยิ่งแตกต่างมากยิ่งดูห่างไกลความสัมพันธ์ แต่ทุกอย่างมีข้อยกเว้นหากจิตใจที่เปิดกว้างยอมรับ และโอนอ่อนให้แก่กันบ้าง ขณะเดียวกันก็ต้องใช้ความพยายามเพื่อที่จะเรียนรู้และเข้าใจเทคนิควิธีที่เหมาะสม
     ...ความแตกต่างของผู้คนทั้งด้านวัยวุฒิ คุณวุฒิ หรือฐานะทางสังคมไม่ได้เป็นอุปสรรคของการผูกสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นหากแต่ละฝ่ายจะยอมอ่อนน้อมค้อมตนเปิดใจให้ที่ว่างของความสัมพันธ์ได้เกาะเกี่ยว แต่ความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นต้องผ่านกระบวนการคิดอย่างเข้าใจ ยอมรับในความแตกต่างของกันและกัน ไม่ยึดถือความเป็นตัวตนของตนเองเป็นสำคัญ
...เงื่อนเชือกขัดสมาธิ เป็นการต่อเชือก 2 เส้นเข้าหากันโดยเหมาะกับเชือกที่มีขนาดแตกต่างกัน